เช้าวันที่สาม หลังจากนอนหลับสบายด้วยฤทธิ์ยา (BECHEROVKA) ก็ตื่นมาแต่เช้าออกไปเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าซักหน่อย ออกมาจากโรงแรมเจออากาศยามเช้าเย็นยะเยือกรวมกับลมแรงทำให้หนาวถึงใจจริงๆครับ เดินพักเดียวจมูกและปากเย็นจนชาไปเลย
ยามเช้ายังไม่มีผู้คนออกมา ไฟตามทางยังไม่ปิด |
ยังเช้ามาก บรรยากาศสงบเงียบ เดินไปแทบไม่เจอคนเลย
แม่น้ำวัลตาวาที่นี่ยังมีขนาดไม่กว้างมากและไม่ลึก ไม่ใหญ่เหมือนที่ปราก
Cesky Krumlov ได้รับการขนานนามว่า Pearl of Renaissance และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย
krumlov castle ในยามเช้า |
ประมาณแปดโมงเช้ากลับก็ได้เวลากลับที่พัก ซึ่งก็ได้เวลาอาหารเช้าพอดี
หลังทานอาหารเสร็จก็ได้เวลารวมพลและนัดเจอคุณอ้อมเพื่อเดินไปเยี่ยมชมภายในปราสาทครุมลอฟครับ
เดินมาถึงหน้าปราสาทก็มาเจอร้านนี้ครับ ป้าย APOTHEKA แปลว่าร้านขายยา ร้านนี้อยู่หน้าทางเข้าปราสาทครุมรอฟเป็นร้านที่เก่าแก่สุดในเมืองเพราะเหมือนเป็นบ้านหมอหลวงสมัยโบราณ
เดินออกจากที่พักมาประมาณ สองสามร้อยเมตร ก็ถึงทางเข้าปราสาท
ปราสาทกรุมลอฟเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสาธารณรัฐเช็ก โดยเป็นรองจากปราสาทฮรัดชานี (Hradčany) ที่กรุงปราก ซึ่งปราสาทจัดว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวเมืองที่มีพื้นที่น้อย (from wikipedia)
จากนั้นเราได้เข้าไปชมภายในปราสาท ซึ่งมีไกด์ของปราสาทพาเดินชมและบรรยายให้ฟัง และทีมของเราก็ได้คุณอ้อมช่วยอธิบายรายละเอียดในส่วนต่างๆเพิ่มเติมในหลายๆจุดทำให้เห็นถึงความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของที่นี่ครับ(เนื่องจากเค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพในตัวปราสาทจึงไม่มีภาพให้ชมกันครับ)
หลังจากชมในตัวปราสาทแล้วเราก็เดินเลยเข้าไปด้านหลังปาสาทซึ่งเป็นเนินเขามองเห็นมุมกว้างของทั้งเมืองดังรูปด้านล่างครับ
Cesky Krumlov Castle ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ศิลปะแบบบาโรก (Baroque) ที่บริเวณส่วนหน้าของปราสาทมีหอคอยทรงกลมสูงเด่น สามารถมองเห็นได้จากหลายๆ มุมของเมือง ตรงส่วนกลางจะเป็นพื้นที่ของตัวปราสาท และมีสวนที่อยู่บริเวณด้านหลังสุด
จุดชมวิวมหาชน |
จุดชมวิวมหาชน |
ถัดจากตัวปราสาทไปทางด้านหลังจะเป็นสวนของปราสาทครับ เนื่องจากเรามาเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่ค่อยมีดอกไม้มากนัก
หลังจากเดินกันพักใหญ่ก็เที่ยงพอดี ได้เวลาหาอาหารกลางวันทานครับ เราจึงเดินออกจากปราสาทสู่จัตุรัสconcord
ขาลงก็ยังเก็บภาพมาเรื่อยๆ
ขณะรออาหาร มีคนเห็นร้านขายมันฝรั่งทอด เลยเดินไปต่อแถวและเอามา1ไม้ครับ
บรรยากาศที่จัตุรัสของเมือง |
หลังจากเดินมาสัก 500 เมตรก็ผ่านเขตตัวเมืองเก่าออกมา และเราก็พบฟิลลิบนำรถมารอรับเราเพื่อเดินทางไปสู่ปรากครับ
สถานที่ที่เป็นฉากเปิดตัวละครกลรักลวงใจ |
จากนั้นเราก็เดินมุ่งหน้าสู่สะพานชาร์ลส์
สามล้อไทย go inter |
ถึงแล้วครับ karluv most หรือ Charles Bridge
สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge)เป็นสะพานเก่าแก่สไตล์โกธิกที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวาที่เชื่อมระหว่าง Old Town และ Little Town สะพานสร้างในปี 1357 ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 มาเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 มีความยาว 520 เมตร กว้าง 10 เมตร มีตอม่อค้ำยัน 16 ตอ จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญสไตล์บารอกที่ตั้งอยู่สอง ข้างสะพานราว 30 องค์ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St. John Nepomuk) เป็นรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดบนสะพาน สร้างเมื่อปีค.ศ. 1683 สะพานแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นอีกสัญญลักษณ์หนึ่งของกรุงปราก
from http://www.meetawee.com
รูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St.John Nepomuk) ตามตำนานบอกว่าท่านถูกโยนลงแม่น้ำวัลตาวาโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เนื่องจากปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับว่าพระราชินีของพระองค์มาสารภาพบาปว่า อะไร ใต้รูปปั้นมีแผ่นทองเหลืองภาพนูนต่ำ ว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบแผ่นทองเหลืองนี้จะได้กลับมาเยือนปรากอีก
สำหรับวันที่ 3 ก็จบเท่านี้ครับ ประทับใจแต่ก็หนื่อยทีเดียว